วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556
แบบฝึกหัดท้ายบท บทที่ 1
แบบฝึกหัดท้ายบท บทที่ 1
1.จงอธิบายความหมายของคำดังต่อไปนี้
พร้อมทั้งยกตัวอย่าง
เทคโนโลยี หมายถึง การนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ หรือความรู้ด้านอื่นๆ ที่ได้จัดระเบียบ แล้วมาประยุกต์ใช้ด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้งานนั้นมีความสามารถและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เช่น การนำเอาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) เข้ามาใช้ในองค์กร ทำให้ไม่ต้องใช้พนักงานเดินเอกสารเพื่อส่งข่าวสาร เป็นต้น
สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการเก็บรวบรวมและเรียบเรียง เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ เช่น สารสนเทศที่เป็นความรู้ที่เกิดจากข่าวสารรอบตัวซึ่งอาจมาจาก วิทยุ โทรทัศน์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ยกตัวอย่างเช่น การฝาก-ถอนเงินผ่านเครื่อง ATM เป็นต้น
เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การนำเทคโนโลยีมาใช้ในงานที่เกี่ยวกับการประมวลข้อมูลเพื่อให้ได้สารสนเทศ ยกตัวอย่างเช่น การ Print การ Copy ข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้มีหลายชุด โดยใช้อุปกรณ์ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร แผ่นCD ฮาร์ดดิส เป็นต้น
ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ ปรากฎการณ์ คน สิ่งของ ฯลฯ ที่เราสนใจบันทึกเก็บไว้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น คะแนนสอบ ชื่อนักศึกษา เพศ อายุ เป็นต้น
ฐานความรู้ คือ สารสนเทศที่จัดเป็นโครงสร้าง ความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและต้องมีคุณค่าเพื่อแก้ไขปัญหาในการดำเนินงานต่างๆได้ ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันสังคมไทยกำลังก้าวสู่ยุค"เศรษฐกิจฐานความรู้" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่า ความรู้เป็นทรัพยากรที่มีค่า การพัฒนาความรู้ใหม่ๆเพื่อการแข่งขันและเสริมสร้างความเข้มแข็งเป็นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งของกระบวนการพัฒนาประเทศ
2.โครงสร้างสารสนเทศมีอะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
โครงสร้างสารสนเทศ ประกอบด้วย
1.ระดับล่างสุด เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ทำงานประมวลผลข้อมูล ซึ่งเรียกว่า ระบบการประมวลผลรายการ เป็นการประมวลข้อมูลที่เป็นการดำเนินงานประจำวันภายในองค์การ เช่น การทำบัญชี การจองตั๋ว เป็นต้น
2.ระดับที่สอง เป็นการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศ เพื่อใช้ในการวางแผนตัดสินใจและการควบคุมที่เกี่ยวเนื่องกับงานประจำวัน ซึ่งเรียกว่า งานควบคุมการดำเนินงาน เช่น สารสนเทศที่เกี่ยวกับการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมและการควบคุมคุณภาพสินค้า ที่ได้จากกระบวนการผลิต
3.ระดับที่สาม เป็นการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศสำหรับผู้บริหารจัดการระดับกลางใช้ในการจัดการและวางแผนระยะสั้น ซึ่งเรียกว่า งานควบคุมการจัดการ เช่น สารสนเทศที่เป็นรายงานสรุปยอดรวมของการขายสินค้าในแต่ละภาค เป็นต้น
4.ระดับที่สี่ เป็นการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศสำหรับผู้บริหารจัดการระดับสูง สำหรับใช้ในงานวางแผนระยะยาว ซึ่งเรียกว่า การวางแผนกลยุทธ์ เช่น สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า สภาวะการตลาด ความสามารถของคู่แข่งขัน เป็นต้น
3. วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศมีอะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย
1.ยุคการประมวลผลข้อมูล เป็นยุคแรกๆของการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ วัตถุประสงค์ช่วงนั้น เพื่อการคำนวณและการประมวลผลข้อมูลประจำวัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร เช่น การทำบัญชี การเก็บรักษาบันทึกต่างๆ
2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เป็นยุคที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจ ควบคุม ดำเนินการติดตามผลและวิเคราะห์งานของผู้บริหาร เช่น รายงานยอดขาย รายงานรายได้รายจ่ายขององค์กรหรือธุรกิจ เป็นต้น
3.ระบบจัดการทรัพยากรสารสนเทศ เป็นการเรียกใช้สารสนเทศ เพื่อที่จะช่วยในการตัดสินใจในการนำองค์กรหรือหน่วยงานไปสู่เป้าหมายอันเป็นความสำเร็จ
4.ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำระบบสารสนเทศ และเน้นความคิดของการให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวัตถุประสงค์สำคัญ
เทคโนโลยี หมายถึง การนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ หรือความรู้ด้านอื่นๆ ที่ได้จัดระเบียบ แล้วมาประยุกต์ใช้ด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้งานนั้นมีความสามารถและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เช่น การนำเอาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) เข้ามาใช้ในองค์กร ทำให้ไม่ต้องใช้พนักงานเดินเอกสารเพื่อส่งข่าวสาร เป็นต้น
สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการเก็บรวบรวมและเรียบเรียง เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ เช่น สารสนเทศที่เป็นความรู้ที่เกิดจากข่าวสารรอบตัวซึ่งอาจมาจาก วิทยุ โทรทัศน์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ยกตัวอย่างเช่น การฝาก-ถอนเงินผ่านเครื่อง ATM เป็นต้น
เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การนำเทคโนโลยีมาใช้ในงานที่เกี่ยวกับการประมวลข้อมูลเพื่อให้ได้สารสนเทศ ยกตัวอย่างเช่น การ Print การ Copy ข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้มีหลายชุด โดยใช้อุปกรณ์ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร แผ่นCD ฮาร์ดดิส เป็นต้น
ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ ปรากฎการณ์ คน สิ่งของ ฯลฯ ที่เราสนใจบันทึกเก็บไว้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น คะแนนสอบ ชื่อนักศึกษา เพศ อายุ เป็นต้น
ฐานความรู้ คือ สารสนเทศที่จัดเป็นโครงสร้าง ความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและต้องมีคุณค่าเพื่อแก้ไขปัญหาในการดำเนินงานต่างๆได้ ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันสังคมไทยกำลังก้าวสู่ยุค"เศรษฐกิจฐานความรู้" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่า ความรู้เป็นทรัพยากรที่มีค่า การพัฒนาความรู้ใหม่ๆเพื่อการแข่งขันและเสริมสร้างความเข้มแข็งเป็นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งของกระบวนการพัฒนาประเทศ
2.โครงสร้างสารสนเทศมีอะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
โครงสร้างสารสนเทศ ประกอบด้วย
1.ระดับล่างสุด เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ทำงานประมวลผลข้อมูล ซึ่งเรียกว่า ระบบการประมวลผลรายการ เป็นการประมวลข้อมูลที่เป็นการดำเนินงานประจำวันภายในองค์การ เช่น การทำบัญชี การจองตั๋ว เป็นต้น
2.ระดับที่สอง เป็นการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศ เพื่อใช้ในการวางแผนตัดสินใจและการควบคุมที่เกี่ยวเนื่องกับงานประจำวัน ซึ่งเรียกว่า งานควบคุมการดำเนินงาน เช่น สารสนเทศที่เกี่ยวกับการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมและการควบคุมคุณภาพสินค้า ที่ได้จากกระบวนการผลิต
3.ระดับที่สาม เป็นการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศสำหรับผู้บริหารจัดการระดับกลางใช้ในการจัดการและวางแผนระยะสั้น ซึ่งเรียกว่า งานควบคุมการจัดการ เช่น สารสนเทศที่เป็นรายงานสรุปยอดรวมของการขายสินค้าในแต่ละภาค เป็นต้น
4.ระดับที่สี่ เป็นการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศสำหรับผู้บริหารจัดการระดับสูง สำหรับใช้ในงานวางแผนระยะยาว ซึ่งเรียกว่า การวางแผนกลยุทธ์ เช่น สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า สภาวะการตลาด ความสามารถของคู่แข่งขัน เป็นต้น
3. วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศมีอะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย
1.ยุคการประมวลผลข้อมูล เป็นยุคแรกๆของการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ วัตถุประสงค์ช่วงนั้น เพื่อการคำนวณและการประมวลผลข้อมูลประจำวัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร เช่น การทำบัญชี การเก็บรักษาบันทึกต่างๆ
2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เป็นยุคที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจ ควบคุม ดำเนินการติดตามผลและวิเคราะห์งานของผู้บริหาร เช่น รายงานยอดขาย รายงานรายได้รายจ่ายขององค์กรหรือธุรกิจ เป็นต้น
3.ระบบจัดการทรัพยากรสารสนเทศ เป็นการเรียกใช้สารสนเทศ เพื่อที่จะช่วยในการตัดสินใจในการนำองค์กรหรือหน่วยงานไปสู่เป้าหมายอันเป็นความสำเร็จ
4.ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำระบบสารสนเทศ และเน้นความคิดของการให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวัตถุประสงค์สำคัญ
โปรแกรม Antivirus
โปรแกรม Antivirus
เรามารู้จัก โปรแกรมป้องกันไวรัส (Antivirus) กันนะค่ะ
โปรแกรมป้องกันไวรัส หรือที่เราเรียกว่าโปรแกรมฆ่าไวรัสนั่นแหละ
แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรนั้นถ้าหากแปลกันแบบตรงๆตัวละก็
มันจะเรียกว่าโปรแกรมต่อต้านไวรัสค่ะ โปรแกรม Antivirus
นั้นเป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อทำการป้องกันการเข้ามาปั่นป่วนของไวรัส
หากในชีวิตคนเรานั้นแน่นอนว่าไวรัสเป็นตัวก่อกำเนิดโรคภัยต่างๆ
ในคอมพิวเตอร์ก็เช่นกันค่ะไวรัสนั้นก็เป็นตัวที่ทำให้คอมพิวเตอร์ของเรานั้นมีอาการเสียหายจนอาจจะถึงขั้นป่วยหนัก
เปิดไม่ติดเลยก็เป็นไปได้่ค่ะ
โปรแกรม
Antivirusนั้นย่อมมีจุดประสงค์เพื่อที่จะฆ่าหรือป้องกันไวรัสที่จะเข้ามาทำร้ายเครื่องของเราค่ะ
ถ้าหากเปรียบเทียบก็คงเหมือนดั่งวัคซีน หรือไม่ก็ยานั่นแหละครับ โปรแกรม Antivirus
นั้นมีอยู่มากมายในโลกนี้ครับแต่ก็ไม่มีตัวใดที่ดีที่สุดหรอกนะค่ะ
เพราะของที่ดีที่สุดนั้นอยู่ที่เรานั้นพอใจมันรึไม่ต่างหากครับแต่ถ้าหากจะถามถึงคุณสมบัติของโปรแกรม
Antivirus ที่ดีๆนั้นละก็ เรามาดูกันเลยนะครับว่ามีอะไรบ้าง
สมบัติโปรแกรม Antivirus ที่ดี คือ
1.ใช้ทรัพยากรเครื่องที่น้อย หรือพูดง่ายๆใช้พื้นในการติดตั้งน้อย
ไม่กินแรมจนทำให้เครื่องอืดนั่นแหละ
2. สามารถตรวจสอบสายพันธุ์ไวรัสได้จำนวนมาก แม่นยำ และฉับไวค่ะ
3.มีการ Update ฐานข้อมูลของสายพันธุ์ ไวรัสตลอดเวลาค่ะ ถ้าหากจะให้ดีอัพเดตตลอดทุกวันนั่นแหละค่ะเพราะว่าไวรัสนั้นเกิดขึ้น ใหม่ทุกวันค่ะ
2. สามารถตรวจสอบสายพันธุ์ไวรัสได้จำนวนมาก แม่นยำ และฉับไวค่ะ
3.มีการ Update ฐานข้อมูลของสายพันธุ์ ไวรัสตลอดเวลาค่ะ ถ้าหากจะให้ดีอัพเดตตลอดทุกวันนั่นแหละค่ะเพราะว่าไวรัสนั้นเกิดขึ้น ใหม่ทุกวันค่ะ
4.สามารถสอย เอ๊ย
จัดการเจ้าไวรัสนั้นได้ก่อนที่มันจะมาทำลายข้อมูลงานของเราและยังสามารถที่จะซ่อมไฟล์ที่ถูกไวรัส
นั้นแทรกซึมบางส่วนให้กลับมาเป็นปกติได้ครับ
5.มีหน้าตาที่ใช้งานง่าย เข้าใจง่าย
5.มีหน้าตาที่ใช้งานง่าย เข้าใจง่าย
ถ้าหากว่าใครกำลังมองหาโปรแกรม Antivirus
อยู่ละก็สามารถที่จะใช้เกณฑ์นี้ได้นะค่ะเพราะถือว่าเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่เอาไว้ดูโปรแกรม
Antivirus ที่มีประสิทธิภาพค่ะ ซึ่งช่วยให้เรานั้นสามารถที่จะเลือกใช้งานโปรแกรม
Antivirus ที่ถูกใจเราได้ยังไงละค่ะ
และถ้าหากว่าพบแล้วว่ามีหลากหลายตัวมากก็อย่าเผลอลงพร้อมกันทีเดียวหลายโปรแกรมละครับเพราะว่ามันจะทำงานขัดแย้งกันแนะนำว่าให้ลงโปรแกรม Antivirus ตัวเดียวสำหรับคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวเท่านั้นค่ะ ไม่เช่นนั้นจะเป็นเห็นคอมพิวเตอร์ของเรานั้นกลายเป็นเต่าล้านปีแน่นอน เพราะจะช้ามากๆเลยครับอย่างไรก็ตามนั้นแม้ว่าเรานั้นจะมี Antivirus ที่ดีเพียงใดแต่ถ้าหากว่าเราไม่ทำการUpdate ฐานข้อมูลของไวรัสผ่านทางinternet ละก็แน่นอนว่าที่เราลงโปรแกรม Antivirus ไปนั้นก็คงจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ เพราะถึงแม้ว่าเราจะลงไปแล้วนั้นก็ไม่สามารถที่จะจัดการเหล่าไวรัสพวกนั้นได้อย่างแน่นอนค่ะ
และถ้าหากว่าพบแล้วว่ามีหลากหลายตัวมากก็อย่าเผลอลงพร้อมกันทีเดียวหลายโปรแกรมละครับเพราะว่ามันจะทำงานขัดแย้งกันแนะนำว่าให้ลงโปรแกรม Antivirus ตัวเดียวสำหรับคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวเท่านั้นค่ะ ไม่เช่นนั้นจะเป็นเห็นคอมพิวเตอร์ของเรานั้นกลายเป็นเต่าล้านปีแน่นอน เพราะจะช้ามากๆเลยครับอย่างไรก็ตามนั้นแม้ว่าเรานั้นจะมี Antivirus ที่ดีเพียงใดแต่ถ้าหากว่าเราไม่ทำการUpdate ฐานข้อมูลของไวรัสผ่านทางinternet ละก็แน่นอนว่าที่เราลงโปรแกรม Antivirus ไปนั้นก็คงจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ เพราะถึงแม้ว่าเราจะลงไปแล้วนั้นก็ไม่สามารถที่จะจัดการเหล่าไวรัสพวกนั้นได้อย่างแน่นอนค่ะ
เดี๋ยวเราจะลองมาดูโปรแกรม Antivirus
ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนี้กันนะค่ะ
- Kaspersky Antivirus (ตัวโปรแกรมแข็งแกร่งมากๆ)
- Nod 32 Antivirus (หลายคนคงรู้จักดีเจ้าตาเขียว แล้วส้มแล้วแดง แล้วก็ใช้ไม่ได้ )
- Avast Antivirus
- Norton Antivirus (อยู่มานานมากๆ)
- Mcafree Antivirus (นานเช่นกัน)
- Bitdefender Antivirus (น้องใหม่)
- AVG Antivirus (เคยเป็นที่นิยมในบ้านเรา)
- Kaspersky Antivirus (ตัวโปรแกรมแข็งแกร่งมากๆ)
- Nod 32 Antivirus (หลายคนคงรู้จักดีเจ้าตาเขียว แล้วส้มแล้วแดง แล้วก็ใช้ไม่ได้ )
- Avast Antivirus
- Norton Antivirus (อยู่มานานมากๆ)
- Mcafree Antivirus (นานเช่นกัน)
- Bitdefender Antivirus (น้องใหม่)
- AVG Antivirus (เคยเป็นที่นิยมในบ้านเรา)
จากชื่อที่กล่าวมานี้หลายๆคนคงจะคุ้นบ้างไม่คุ้นบ้าง
หรือว่าบางคนอาจจะยังใช้อยู่ด้วยนะค่ะ
บทส่งท้าย : โปรแกรม Antivirus
นั้นถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องครับ
ถ้าหากเปรียบคอมพิวเตอร์เป็นมนุษย์ แน่นอนว่ามนุษย์นั้นก็ต้องมียารักษาโรค
มีวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีโปรแกรม Antivirus
ไว้ป้องกันภัยอันตรายนั่นแหละค่ะ
โปรแกรม Photoshop
Photoshop
สำหรับบทความนี้ คงเป็นที่ถูกใจใครหลายๆคนเลยทีเดียวละครับ กับวิธีการทำหน้าให้เนียนใส ด้วยPhotoshop เพื่อแก้ปัญหาภาพที่มี สิว ผด ผื่น คัน ฝ้า กระ กลาก เกลื้อน ขึ้นเต็มหน้า (เฮ้ย!! ไม่ช่าย) ยิ่งวัยเจริญพันธุ์แล้วละก็.. (ดูมันเรียกซะ) เลยมีวิธีจะนำเสนอ อยากให้เพื่อนๆลองทำดูค่ะ ไม่ได้อยากอย่างที่คิด ที่เห็นโพสต์ยาวๆนั้น เพราะต้องการความละเอียดและเข้าใจง่ายเลยมีรูปภาพประกอบเยอะ เอิ๊กๆ อย่ากระนั้นเลย พวกเจ้าจงมาเสพวิธีการทำให้หน้าเนียนใสนิ้งเถิด ใช้ทั้งหน้า สวยทั้งหน้าจ้า
Step1
เปิดรูปที่ต้องการขึ้นมาค่ะ ส่วนเราขอเอานางแบบเพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นความแตกต่างได้ชัดละกันนะค่ะ
Step2
เราจะเริ่มเสกให้หน้าเนียนใสกันแล้วนะค่ะ ให้ทำการก๊อปปี้เลเยอร์โดยการคลิกขวาที่เลเยอร์แล้วเลือกDuplicate Layer หรือกด Ctrl+J (กด Ctrl กับ J พร้อมกัน )
Step3
ต่อไปให้เพื่อนๆไปที่เมนู Filter แล้วไปที่ Blur เลือก Gaussian Blur… เพื่อทำภาพให้มันดูนุ่มขึ้นและแน่นอนว่าหน้าใสขึ้นด้วย จริงนะ ไม่ได้โม้
Step4
เลือกปรับค่า Radius ตามต้องการ ใส่เลขมากภาพก็ยิ่งนุ่มมากและอีกอย่างมันจะเบลอมากไปด้วย มันจะส่งผลให้ภาพไม่สมจริง เพราะฉะนั้นให้เลือกเอาพอประมาณนะค่ะ ส่วนผมเลือกค่า Radius ที่ 7%
Step5
ขั้นตอนนี้ให้เพื่อนไปที่เมนู Layer แล้วไปที่ Layer Mark แล้วเลือก Reveal All
Step6
ต่อมาเราจะทำการ Invert Leyer Mask ให้เพื่อนๆสังเกตตรงเลเยอร์ที่มีช่องสี่เหลี่ยมสีขาว
เมื่อเรา Invert แล้ว ช่องสี่เหลี่ยมสีขาวจะกลายเป็นสีดำทันที
Step7
ขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่ทำให้หน้าเนียนใสขึ้น โดยให้เพื่อนๆ เลือกเครื่องมือ Brush แล้วปรับ Opacity ของแปลงให้ต่ำๆ เราปรับที่ 20%
Step8
เมื่อเราตั้งค่าแปรงเรียบร้อยแล้ว เราก็นำแปลงมาละเลงในส่วนที่อยากให้หน้าใสไร้สิ่ว โดยเน้น บริเวณ หน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง และค่อยๆ ปัดไปเรื่อยๆ พยายามอย่าใช้แปลงปัดที่ปากและคางมากๆ เพราะจะทำให้ขอบภาพเบลอได้
จบแล้วค่ะสำหรับการทำให้หน้าเนียนใสนิ้ง ไม่รู้ว่าจะถูกใจเหมือนที่เราโม้ไว้ข้างบนหรือเปล่า
และขอบคุณมากค่ะที่อ่านจนจบ หวังว่าจะช่วยเพื่อนๆได้บ้างนะค่ะ
ต่อมาเราจะทำการ Invert Leyer Mask ให้เพื่อนๆสังเกตตรงเลเยอร์ที่มีช่องสี่เหลี่ยมสีขาว
เมื่อเรา Invert แล้ว ช่องสี่เหลี่ยมสีขาวจะกลายเป็นสีดำทันที
Step7
ขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่ทำให้หน้าเนียนใสขึ้น โดยให้เพื่อนๆ เลือกเครื่องมือ Brush แล้วปรับ Opacity ของแปลงให้ต่ำๆ เราปรับที่ 20%
Step8
เมื่อเราตั้งค่าแปรงเรียบร้อยแล้ว เราก็นำแปลงมาละเลงในส่วนที่อยากให้หน้าใสไร้สิ่ว โดยเน้น บริเวณ หน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง และค่อยๆ ปัดไปเรื่อยๆ พยายามอย่าใช้แปลงปัดที่ปากและคางมากๆ เพราะจะทำให้ขอบภาพเบลอได้
จบแล้วค่ะสำหรับการทำให้หน้าเนียนใสนิ้ง ไม่รู้ว่าจะถูกใจเหมือนที่เราโม้ไว้ข้างบนหรือเปล่า
และขอบคุณมากค่ะที่อ่านจนจบ หวังว่าจะช่วยเพื่อนๆได้บ้างนะค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)